โดยร้อยละ 90 ของปัญหาเครื่องจักรทำงานบกพร่องและต้องหยุดเดินเครื่องจักร (Downtime) นั้นมีสาเหตุมาจากความสกปรกของน้ำมัน
เพราะน้ำมันไฮดรอลิกเป็นหัวใจสำคัญของการผลิตทุกประเภท จึงถูกนำมาวิเคราะห์คุณภาพและเปลี่ยนถ่ายอย่างสม่ำเสมอ และแม้ว่าจะดำเนินการทุกขั้นตอนที่กล่าวไปแล้ว แต่ยังพบว่ามีสิ่งปนเปื้อนอยู่ และเป็นสาเหตุทำให้เครื่องจักรมีปัญหาจนต้องหยุดทำงาน เพื่อการซ่อมแซมและเปลี่ยนอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ปั๊ม, วาล์ว, กระบอกสูบ, และซีล อีกด้วยเช่นกัน แม้แต่น้ำมันไฮดรอลิกใหม่ ยังพบว่ามีอนุภาคของแข็งขนาดเล็กกว่า 5 ไมครอน (µ) อยู่มากกว่า 75,000 อนุภาคต่อน้ำมัน 100 มล. นอกจากนี้ อุปกรณ์ไฮดรอลิกต่าง ๆ เช่น ปั๊ม, วาล์ว, ท่อ, สายยาง, เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) และถังน้ำมัน มักมีสิ่งปนเปื้อนจากโรงงานผลิตมาอยู่เสมอ ถึงแม้จะเป็นอุปกรณ์ใหม่
การสึกหรอ, และการกัดกร่อน คือสาเหตุที่ทำให้อัตราการปนเปื้อนเพิ่มขึ้น เมื่อนุภาคสิ่งสกปรกปนเปื้อนไหลเวียนเข้าสู่ระบบ ด้วยความเร็วสูงและแรงดันสูง สิ่งสกปรกในอากาศ โดยรอบจะเข้ามาผ่านท่อกักอากาศ, กระบอกสูบ, ท่อ, ซีล ซึ่งจะเพิ่มการปนเปื้อนของระบบ
การควบแน่นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและน้ำมันรั่วไหลจากระบบหล่อเย็น จึงเกิดการปนเปื้อนของน้ำมันกับน้ำ การรวมตัวกันของอนุภาคโลหะ (ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา), น้ำ และ ออกซิเจน ในอุณหภูมิค่อนข้างสูง เมื่อเกิดการเพิ่มขึ้น จะเป็นการเร่งการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของน้ำมัน
ในกระบวนการอันซับซ้อนของปฏิกิริยาออกซิเดชั่นนี้จะมีปฏิกิริยาพอลิเมอไรเซชัน ซึ่งทำให้เกิดโครงสร้างโมเลกุลที่มีความเหนียวที่เรียกว่า “Sludge” โดยตะกอนเหล่านี้มีลักษณะเป็นสารเรซินสีเข้ม (เป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมน้ำมันจึงมีสีเข้มภายหลัง จากผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง) และจะทิ้งคราบเอาไว้ตามส่วนต่างๆ ของระบบไฮดรอลิก Sludge มีขนาดที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จึงสามารถกำจัดออกไปได้ยาก และจากโครงสร้างที่มี ความเหนียวหนืดตลอดจนฤทธิ์กัดกร่อนจึงส่งผลกระทบ ไปยังประสิทธิภาพและความสามารถของระบบไฮดรอลิกได้
ข้อมูลอ้างอิง : ทริปเปิล อาร์